ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำเดือนมีนาคมและไตรมาสที่ 1 ปี 2568 โดยพบว่าเศรษฐกิจไทยในเดือนมีนาคม 2568 มีการชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และค่าครองชีพที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ภาคการบริโภคและการลงทุน
การบริโภคภาคเอกชนหดตัวลงเหลือ -0.5% จากเดือนก่อนที่มีการขยายตัว 0.9% ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนติดลบ -1.0% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่หดตัว -1.5% ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงต่อเนื่อง สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และภาระค่าครองชีพที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตอุตสาหกรรมมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยหดตัวเพียง -0.7% เทียบกับเดือนก่อนที่หดตัวถึง -3.9% โดยเฉพาะในหมวดยานยนต์และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่มีการผลิตเพิ่มขึ้น
ภาคการท่องเที่ยว
ภาคการท่องเที่ยวในเดือนมีนาคมลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 9.0% เนื่องจากการเข้าสู่เดือนรอมฎอนที่เร็วกว่าปีก่อน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มมุสลิมลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังคงหดตัว แม้จะน้อยลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ข้อมูลล่าสุดระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 27 เมษายน 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 11.8 ล้านคน อย่างไรก็ตาม รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วทรงตัวจากเดือนก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวระยะไกล เช่น รัสเซียและออสเตรเลีย
ภาคการส่งออก
มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำปรับลดลง 2.0% เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัว 5.2% โดยสาเหตุหลักมาจากการลดลงในสามหมวดสำคัญ ได้แก่:
- หมวดโลหะมีค่า โดยเฉพาะการส่งออกทองคำขาวไปอินเดีย เนื่องจากศุลกากรอินเดียปรับเงื่อนไขการนำเข้าให้เข้มงวดมากขึ้น
- หมวดเกษตรแปรรูป โดยเฉพาะการส่งออกน้ำตาลไปอินโดนีเซีย หลังจากที่มีการเร่งส่งออกไปแล้วในเดือนก่อน
- หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะการส่งออกเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐฯ และออสเตรเลีย
อย่างไรก็ดี การส่งออกในบางหมวดกลับมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น หมวดอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีการบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้า นอกจากนี้ การส่งออกในหมวดโลหะไปนอร์เวย์ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
การใช้จ่ายภาครัฐ
การใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอนขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ทั้งในส่วนของรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลกลาง โดยรายจ่ายประจำขยายตัว 31.4% เนื่องจากการเบิกจ่ายของหน่วยงานด้านการศึกษา รวมถึงเงินบำนาญ ค่าตอบแทนบุคลากร และค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ส่วนรายจ่ายลงทุนขยายตัวถึง 129.6% โดยเป็นการเบิกจ่ายของหน่วยงานด้านสาธารณูปโภคและคมนาคม อย่างไรก็ตาม รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจกลับหดตัวลงในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางรางและสาธารณูปโภค
อัตราแลกเปลี่ยนและเสถียรภาพเศรษฐกิจ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ในเดือนมีนาคม 2568 โดยเฉลี่ยทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม ในเดือนเมษายน 2568 (ข้อมูลถึง 25 เมษายน) เงินบาทมีความผันผวนมากขึ้น โดยในช่วงแรกเงินบาทอ่อนค่าลงหลังจากสหรัฐประกาศจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่ภายหลังเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นหลังจากสหรัฐประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษีในอัตราสูงสุดออกไป 90 วัน
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคมอยู่ที่ 0.84% ลดลงจากเดือนก่อนที่ 1.08% โดยเป็นผลมาจากราคาในหมวดพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันขายปลีกกลุ่มเบนซินที่ลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่าไฟฟ้าที่ลดลงตามมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางของภาครัฐ ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.86% ลดลงจากเดือนก่อนที่ 0.99% ตามราคาอาหารสำเร็จรูป รวมถึงค่าของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ซักล้าง
ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมีนาคมเกินดุล 2,300 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากเดือนก่อนที่เกินดุล 5,500 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นผลจากดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่กลับมาขาดดุล
ตลาดแรงงาน
ตลาดแรงงานโดยรวมปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ แต่ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของภาคท่องเที่ยวที่อาจส่งผลต่อการจ้างงาน โดยในเดือนมีนาคมมีจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคม 12.09 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มี 12.05 ล้านคน ผู้ขอรับสิทธิกรณีว่างงานรวม 2.28 แสนคน และผู้ขอรับสิทธิกรณีว่างงานรายใหม่ 4.5 แสนคนต่อเดือน ลดลงจากเดือนก่อนที่มี 5.5 แสนคน
สรุปภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1 ปี 2568
ในภาพรวมไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งส่งออกสินค้าที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลต่อมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม กิจกรรมภาคท่องเที่ยวปรับลดลงตามจำนวนและรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่มีความกังวลด้านความปลอดภัย และการลงทุนภาคเอกชนลดลง แม้การใช้จ่ายภาครัฐจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องจากทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน
เสถียรภาพเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามราคาในหมวดอาหารสดที่ปรับเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นจากหมวดอาหาร โดยเฉพาะราคาเครื่องประกอบอาหารและอาหารสำเร็จรูป ในขณะที่ราคาในหมวดพลังงานปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ตลาดแรงงานโดยรวมปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยตามการจ้างงานในภาคบริการ แม้ว่าการจ้างงานในภาคการผลิตจะลดลง ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ตามรายรับภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับดุลการค้าเกินดุลเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่เร่งตัวขึ้น
ภาคอสังหาริมทรัพย์
ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในไตรมาสที่ 1 ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน โดยอุปสงค์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศลดลงทั้งในส่วนของที่อยู่อาศัยแนวราบและอาคารชุด สะท้อนจากการอนุมัติสินเชื่อปล่อยใหม่ที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับอุปทานที่อยู่อาศัยที่ลดลงตามจำนวนที่อยู่อาศัยอาคารชุดเปิดขายใหม่ อย่างไรก็ตาม ราคาที่อยู่อาศัยในภาพรวมกลับปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น